ทหารพราน เป็นกำลังทหารราบเบากึ่งทหารซึ่งลาดตระเวนตามแนวชายแดนไทยและเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพไทย ทหารพรานทำงานร่วมกับตำรวจตระเวนชายแดน แต่ถูกฝึกและติดอาวุธให้ทำการรบ ขณะที่ตำรวจตระเวนชายแดนเป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายมากกว่า และทหารพรานนาวิกโยธินในสังกัดกองทัพเรือนั้น ขึ้นการบังคับบัญชากับกองพลนาวิกโยธิน
หน่วยทหารพรานจัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2521 ตามแนวคิดที่กำหนดไว้ว่า ทหารพราน คือ อาสาของประชาชน หรือเรียกว่านักรบประชาชน มีวัตถุประสงค์จัดตั้งเพื่อต่อสู้กับกองโจรพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และขับไล่กองโจรลงจากที่มั่นบนภูเขาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นแนวคิดของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกที่กองบัญชาการกองทัพไทยในกรุงเทพมหานคร หน่วยทหารพรานประกอบด้วยทหารใหม่จากพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากการก่อการกำเริบของคอมมิวนิสต์ ทหารใหม่นั้นจะเข้ารับการฝึกเข้มข้น 45 วัน ได้รับแจกอาวุธสมัยใหม่ และถูกส่งกลับไปยังหมู่บ้านของตนเพื่อดำเนินปฏิบัติการกองโจรต่อคอมมิวนิสต์
หน่วยทหารพรานดำเนินหลายปฏิบัติการต่อขุนส่าในสามเหลี่ยมทองคำ และยังมีส่วนในการปฏิบัติความมั่นคงระหว่างการเผชิญหน้ากันที่ปราสาทพระวิหารใน พ.ศ. 2551 และ 2552
ช่วงแรกของการก่อตั้งทหารพรานบางคนเป็นอาชญากรที่ต้องคำพิพากษาแต่ได้มีการผ่อนผันโทษ บางส่วนก็สมัครเข้าเป็นทหารพรานเพื่อให้ได้รับพื้นที่ทำกิน[6] ในบางพื้นที่ก็ใช้ทหารพรานทำหน้าที่แทนกองอาสารักษาดินแดน ซึ่งเป็นกำลังพลเรือนที่ปกป้องประชาชนในท้องถิ่นจากกองโจร[จนถึงปลาย พ.ศ. 2524 ทหารพรานเข้าแทนที่ 80% ของหน่วยทหารปกติในการปฏิบัติภารกิจตามแนวชายแดนพม่า กัมพูชาและมาเลเซีย
ทหารพรานมีประวัติศาสตร์ที่เจ็บช้ำ โดยเป็นหน่วยที่มักถูกกล่าวหาว่ากระทำการโหดร้าย ใช้อำนาจโดยไม่ถูกต้องและมีส่วนพัวพันกับการค้ายาเสพติด นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าหน่วยทหารพรานมีอันธพาลท้องถิ่นส่วนมาก ซึ่งมักใช้สถานะของตนก่ออาชญากรรมต่อเพื่อนพลเมืองต่อไป มีการปฏิรูปหลายครั้งนับตั้งแต่ พ.ศ. 2523 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคัดเลือกทหารใหม่ ซึ่งเป็นมืออาชีพมากกว่าที่เคยเป็นเมื่อยี่สิบปีก่อน
อดีตทหารพรานยังต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับกิจกรรมก่อการร้ายระหว่างการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ พ.ศ. 2553 ในกรุงเทพมหานคร แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจนในการกล่าวอ้าง มีเพียงรัฐบาลในตอนนั้นที่พูดว่ามีชายชุดดำในกลุ่มผู้ชุมนุม
หน่วยพิเศษ
พ.ศ. 2522 การหลั่งไหลเข้ามายังประเทศไทยของผู้อพยพชาวกัมพูชากลายเป็นปัญหาการเมืองสำคัญและเป็นประเด็นความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากการที่ผู้อพยพหลายพันคนเคยเป็นนักรบเขมรแดง นายกรัฐมนตรีไทย เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ทหารอาชีพซึ่งเคยเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาก่อน ประกาศให้อำเภอติดชายแดนอยู่ภายใต้กฎอัยการศึกและอนุมัติให้การอำนวยการรวม กองบัญชาการทหารสูงสุด ควบคุมและจัดความปลอดภัยให้แก่ผู้อพยพ กองบัญชาการทหารสูงสุดสนองโดยจัดตั้ง หน่วยเฉพาะกิจ 80 ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2523 หน่วยทหารพรานพิเศษนี้ได้รับมอบหมายหน้าที่ป้องกัน การจัดการผู้ลี้ภัย และจัดหาอาหารและอาวุธให้แก่ฝ่ายขัดขวางต่อต้านเวียดนามซึ่งประเทศไทยสนับสนุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขมรแดง เช่นเดียวกับแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติประชาชนเขมรและ Armee Nationale Sihanoukiste หรือ ANS ระหว่างการมีอยู่ช่วงสั้น ๆ ของหน่วยเฉพาะกิจ 80 หน่วยถูกกล่าวหาว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่บ่อยครั้ง กระทั่งถูกยุบยกเลิกไปในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2531
จัดตั้งกองกำลังทหารพรานจังหวัดชายแดนภาคใต้
นับตั้งแต่เหตุการณ์ความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยทวีความรุนแรงเมื่อปี พ.ศ. 2547 กองทัพบกไทยได้เพิ่มจำนวนทหารพรานขึ้นถึงสามเท่า ซึ่งกองกำลังทหารพรานจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กกล.ทพ.จชต.) ได้รับการก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2549 โดยมีภารกิจในการบังคับบัญชาหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพราน (ฉก.ทพ.) รวมถึงเป็นกองบังคับการหน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วม
การจัดตั้งกองกำลังเพิ่มเติม
ต่อมากระทรวงกลาโหมเสนอให้มีการจัดตั้งกองบังคับการกรมทหารพรานเพิ่มเติม 5 กรม โดยใช้วงเงิน 2,692 ล้านบาทเศษ ซึ่งทางคณะรัฐมนตรีไทยได้อนุมัติเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 อันเป็นไปตามแผนถอนกำลังทหารหลัก โดยให้ทหารพรานที่เป็นกองกำลังถิ่นเข้าประจำการ โดยกองกำลังที่จัดตั้งเพิ่มเติมเพื่อทดแทนทหารหลักของกองทัพภาคที่ 1, 2 และ 3 ได้แก่ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 11, 22 และ 33 และกองกำลังหลักได้แก่ กรมทหารพรานที่ 48 และ 49
นอกจากนั้น ยังได้มีการจัดตั้งกรมทหารพรานนาวิกโยธิน กองทัพเรือ เข้าเสริมการปฏิบัติงาน